ทำไมกาแฟมีรสเปรี้ยว

น้องคนหนึ่งบ่นให้ฟังถึงเรื่องกาแฟเปรี้ยว หลังจากที่ไปลองหาซื้อกาแฟคั่วบดมาชงดื่มเองที่บ้าน เนื่องจากสถานการณ์โควิด19 ทำให้มีการล็อคดาวน์และต้อง work from home ซึ่งปกติน้องคนนี้จะชื่นชอบการสั่งและนั่งดื่มที่ร้านโดยมีเมนูโปรดคือ เอสเพรสโซ่เย็น ที่รสเข้มข้นแต่หวานมัน  แต่เมื่อต้องมาเป็นมือใหม่หัดชง แล้วได้กาแฟที่มีความเปรี้ยว ทำให้น้องคนนั้นสงสัยว่า กาแฟที่ซื้อมาตั้งแพง แต่ทำไมเปรี้ยว หรือว่ากาแฟจะหมดอายุ?

กาแฟที่มีขายทั่วไปในประเทศไทย มีหลากหลายเมนูและหลายชนิดมากๆ เพราะปัจจุบัน กาแฟ เป็นเครื่องดื่มยอดฮิตของทุกเพศแทบทุกรุ่น และขนาดช่วงโควิดเอง แต่กระแสความนิยมก็ไม่ตกลงเลย ดูได้จากต่อให้แม้ร้านกาแฟต่างๆจะซบเซาลูกค้าไปบ้าง แต่กลายเป็นว่า อุปกรณ์การชงกาแฟแทบทุกประเภท เมล็ดกาแฟคั่ว กาแฟคั่วบดสำเร็จรูป หรือแม้แต่ กาแฟซอง 3 in 1 มียอดขายเพิ่มขึ้น ทวนกระแสกับสินค้าอื่นๆเป็นอย่างมาก

เนื่องจากคนเริ่มให้ความสนใจในการรักสุขภาพมากขึ้น ทำให้เมนูกาแฟดำ เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อเมริกาโน่ร้อน และเย็น แบล็คคอฟฟี่  เอสเพรสโซ่ร้อน และอีกหลายเมนูที่อยู่ในกลุ่มกาแฟดำ จึงทำให้มีร้านกาแฟที่คิดค้นสูตรใหม่ๆโดยเน้นที่การสกัดรสชาติของเมล็ดกาแฟที่แตกต่างกันไป มีความหลากหลายและซับซ้อน ไม่ว่าจะเปรี้ยว หวาน เข้มข้น แต่คงไว้ซึ่งรสดั้งเดิมของกาแฟและมีคุณภาพที่ดีที่สุดทำให้กาแฟมีราคาที่ค่อนข้างสูง  ลักษณะแบบนี้เราจะเรียกว่า specialty coffee  

กลับมาว่าที่เมล็ดกาแฟเปรี้ยวดีหรือไม่ เหตุที่กาแฟมีรสเปรี้ยว นั่นเพราะว่า กาแฟ เป็นผลไม้ที่มีลักษณะทางกายภาพคล้ายเชอร์รี่  และยังมีกรด(Acidity)ที่มีความเปรี้ยวธรรมชาติแบบกรดในผลไม้ด้วย จึงทำให้เมล็ดกาแฟสดมีรสเปรี้ยวปนหวาน คล้ายๆมะม่วงตอนที่ยังดิบมีรสเปรี้ยว ครั้นสุกก็ให้ความหอมหวลและหวานอมเปรี้ยว แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และแหล่งที่ปลูกด้วย รวมไปถึงกระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่การเก็บเกี่ยว การหมัก การคั่ว ระดับการคั่วเมล็ดกาแฟ การบด และการสกัด ทุกขั้นตอนที่ว่ามานี้ ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อรสชาติและกลิ่นของกาแฟทั้งสิ้น จะอธิบายพอเป็นสังเขปในเรื่องของสายพันธุ์และแหล่งปลูกกาแฟที่นิยมกันก่อน…

กาแฟทั่วโลกมีหลายสายพันธุ์มากๆ แต่ที่เรานิยมดื่มๆกันนั้น จะเป็นสายพันธุ์ โรบัสต้าและอราบิก้า ซึ่งจะเป็นพันธุ์อราบิก้าที่ร้านกาแฟสดนิยมนำมาสกัดเป็นกาแฟ เพราะให้ความเข้มข้นแต่หวานหอมละมุนมีคาเฟอีนไม่สูงเท่าโรบัสต้า และคอกาแฟส่วนใหญ่ก็นิยมในรสชาติของอราบิก้ามากกว่า ในขณะที่โรบัสต้ามีความเข้มข้นและคาเฟอีนสูงจึงถูกนำไปเป็นกาแฟ 3 in 1 หรือเป็นตัวกาแฟเบลนด์(เบลนด์คือการผสมตามสูตรแต่ละยี่ห้อหรือของร้านนั้นๆ)เสียมากกว่า และแหล่งเพาะปลูกอราบิก้าจะนิยมปลูกในทางภาคเหนือของไทย อย่าง เชียงใหม่ เชียงราย  ส่วนโรบัสต้านั้นจะปลูกในทางภาคใต้ของไทย เช่น ชุมพร นครศรีธรรมราช

แล้วรู้หรือไม่ อราบิก้า ยังแตกแขนงเหล่ากอได้อีกหลายสายพันธุ์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือสายพันธุ์ ทริปิก้า(Typica) ที่ถือว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของอราบิก้าและมี”บลูเมาเท่น”จากจาไมก้าในสายพันธุ์นี้เป็นตัวชูโรง ที่ต้องจาไมก้า เพราะด้วยสภาพอากาศบนภูเขาสูง เอื้ออำนวยทำให้เป็นกาแฟที่มีรสชาติดีมากจนเป็นที่ยอมรับและมีราคาแพงสูงลิ่วเลยทีเดียว

กาแฟอันดับต้นๆที่ได้รับความนิยมจากคอกาแฟทั่วโลกอย่าง”เมล็ดกาแฟเอธิโอเปีย” ที่ให้รสชาติเปรี้ยวและเข้มข้นแต่กลิ่นมีความคล้ายผลไม้ ทำให้บางคนเรียกว่า เมล็ดกาแฟผลไม้ ซึ่งเหมาะกับการชงแบบดริปมากๆ เพราะกลิ่นจะเด่นสุดๆ

เมล็ดกาแฟเคนยาAA เป็นกาแฟพรีเมี่ยมที่ติดหนึ่งในกาแฟราคาแพงที่สุดในโลก มีรสชาติเปรี้ยวเช่นเดียวกับเอธิโอเปีย แต่รสชาติจะออกไปทางไวน์แดงและมีความเข้มข้นน้อยกว่าเอธิโอเปีย รสชาติจะค่อนข้างดื่มง่ายและเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ 

เมล็ดกาแฟปานามาเกอิชา หรือ เมล็ดกาแฟปานามาเกชา (Geisha / Gesha)เป็นกาแฟแพงที่สุดในโลก และยังคงทุบสถิติกาแฟที่แพงที่สุดในการประมูลกาแฟ BoP (The Best of Panama)ปี 2019  เกอิชาจะมี texture ที่ซับซ้อน มีกลิ่นหอมอ่อนเหมือนดอกไม้ที่ให้ความสดชื่น รสชาติหวานอมเปรี้ยวแต่นุ่มละมุน ต่างจากสายพันธุ์อื่นๆ ได้ถูกขนานนามว่าเป็น “ราชากาแฟดริป”

กาแฟบ้านเราก็ใช่ว่าจะน้อยหน้า กาแฟที่ปลูกในไทยเองก็ได้รับความนิยมจากสมาคมคนรักกาแฟเหมือนกัน และถ้าไปดูที่เขาประกวดๆกันนั้น ขอบอกว่า ราคาต่อกิโลกรัมนั้นสูงไม่ใช่เล่น กาแฟไทยที่ดังๆขึ้นชื่อมีไม่น้อย แต่ถ้าคุณเป็นคอกาแฟที่ชื่นชอบรสชาติเข้มข้นแต่นุ่มนวลและมีกลิ่นหอมหวานผลไม้ ก็ต้องไม่พลาดกับกาแฟจากเชียงรายที่เพาะปลูกด้วยชาวอาข่า หมู่บ้านผาฮี้ นั่นคือ “กาแฟผาฮี้” ตามชื่อหมู่บ้านเลย ซึ่งเป็นกาแฟอราบิก้าคุณภาพชั้นยอด โดยเป็นโครงการที่เริ่มต้นจากสมเด็จย่า(พระศรีนครินทราบรมราชชนนี) เพื่อแก้ปัญหาผืนป่าเสื่อมโทรมและการปลูกฝิ่น 

ตัวต่อไปที่จะพูดถึงนั้น คอกาแฟไทยตัวจริงต้องรู้จัก คือ “กาแฟขุนช่างเคี่ยน” จากดอยขุนช่างเคี่ยน จังหวัดเชียงใหม่ สายประกวดก็ต้องยกให้ตัวนี้เลย เนื่องจากมีความเข้ม เปรี้ยว รสคล้ายไวน์แดง ให้ความสดชื่น ดื่มง่ายและเป็นที่ถูกปากคนทั่วไป แต่ถ้าใครชอบกาแฟที่ให้ความรู้สึกเหมือนช็อกโกแลต หรือ ออกถั่วๆหน่อย “กาแฟดอยช้าง” และ “กาแฟดอยปางขอน” น่าจะถูกปากถูกใจไม่น้อยเลย 

ทีนี้เราไปต่ออีกกระบวนการที่มีผลต่อความเปรี้ยวของกาแฟกัน นั่นก็คือ การคั่วเมล็ดกาแฟ และ การบดเมล็ดกาแฟ  การคั่วจะมีทั้งแบบ คั่วอ่อน คั่วกลาง คั่วเข้ม และ คั่วเข้มมาก รสชาติและกลิ่นที่ได้ก็จะต่างกันไป ส่วนการบดก็มีทั้งบดหยาบและบดละเอียด จะให้รสที่แตกต่าง อธิบายง่ายๆได้ดังนี้

เมล็ดกาแฟคั่วอ่อน – กาแฟรสเปรี้ยวสุด แต่จะมีคุณสมบัติของกาแฟมากที่สุด เหมาะกับการดริป และทำเมนูร้อน แต่ไม่เหมาะกับเมนูปั่น และเมนูกาแฟนม

เมล็ดกาแฟคั่วกลาง – รสชาติจะเปรี้ยวน้อยลงมาหน่อย ติดเปรี้ยวหวานปลาย กลิ่นหอมผลไม้ เหมาะกับเมนูร้อนและเย็น ยิ่งเมนูเอสเพรสโซ่ ยิ่งสุดฟิน แต่ไม่เหมาะกับเมนูปั่น

เมล็ดกาแฟคั่วเข้ม – รสชาติจะขมปนหวานหน่อยๆ อาจเปรี้ยวปลายๆ เหมาะกับการทำเมนูเย็นรสเข้ม อย่างอเมริกาโน่เย็น เมนูเย็น และ เมนูปั่น

เมล็ดกาแฟคั่วเข้มมาก – จะให้กลิ่นไหม้ๆเหมาะกับคนชอบรสเข้มๆด้วยรสชาติที่เข้มข้นมากเรียกได้ว่าเป็นกาแฟไม่เปรี้ยว แต่มิติของกาแฟจะหายไปด้วย  จึงมักถูกนำไปชงกับเครื่องชงเอสเพรสโซ่ (Espresso Machine) ทำให้มีรสชาติที่เข้มข้น หอม กลมกล่อม เมนูเอสเพรสโซ่เย็นจะเป็นเมนูที่เหมาะสุดๆ

กาแฟบดหยาบ – เป็นการบดที่เหมาะกับเมล็ดกาแฟคั่วอ่อนและปานกลาง จะให้รสชาติที่ไม่หนักเกินไป

กาแฟบดละเอียด – จะเหมาะกับเมล็ดกาแฟคั่วเข้ม ทำให้ได้รสชาติเข้นข้น 

กาแฟบดละเอียดมาก – เหมาะกับเมล็ดกาแฟคั่วเข้มและคั่วเข้มมาก นิยมใช้กับเครื่องชงเอสเพรสโซ่

*ขอแนะนำว่า เมื่อไปร้านกาแฟสด ถ้าไม่อยากผิดหวังกับรสชาติกาแฟ ให้ถามบาริสต้าหรือพนักงานไปเลยว่ากาแฟในร้านเป็นคั่วชนิดไหน ถ้ามีแต่คั่วอ่อน แน่นอนว่าต้องกาแฟเปรี้ยวแน่ๆ ถ้าคุณไม่ชอบเปรี้ยว ก็เดินออกจากร้านได้อย่างสวยๆ โดยไม่เสียหน้าและไม่ต้องเสียเงินให้กับสิ่งที่คุณไม่ชอบ*

เปิดร้านกาแฟ ใช้เมล็ดกาแฟคั่วแบบไหนดี

สำหรับร้านกาแฟ การเลือกชนิดเมล็ดกาแฟเข้าร้าน ต้องดูด้วยว่า ลูกค้าที่เข้าร้านเป็นลูกค้าที่ชอบรสชาติกาแฟแนวไหน ถ้าลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้าร้านเป็นคอกาแฟตัวยง ต้องการเสพรสชาติแท้ๆของกาแฟ ให้เลือกเมล็ดกาแฟคั่วอ่อนกับคั่วกลาง แต่ถ้าลูกค้าที่เข้าร้านส่วนใหญ่ชอบสั่งกาแฟแบบเข้มหวานมัน ก็เลือกเมล็ดกาแฟคั่วกลางไปถึงคั่วเข้มได้เลย

จริงแล้วๆที่จะพูดถึงต่อไปนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับเหตุความเปรี้ยวของกาแฟแต่อย่างใด แต่เห็นว่ามันจะเป็นประโยชน์กับใครอีกหลายคนที่อาจชงกาแฟสดดื่มเองอยู่ที่บ้าน หรืออาจไปขอที่ร้านกาแฟสดทั่วไปก็ได้ เพราะมีหลายร้านที่ยินดีจะให้กากกาแฟคุณไปอย่างฟรีๆ ใช่แล้ว..ที่เราจะพูดถึงก็คือ “กากกาแฟ”

กากกาแฟ ที่ไม่ใช่แค่กากอีกต่อไป รู้ไหมว่าทำไม…คิดว่า ณ ตอนนี้ คงมีหลายๆคนรู้บ้างแล้ว เพราะอาจได้ยินสื่อโฆษณา หรือ อาจได้หาซื้อผลิตภัณฑ์จากกากกาแฟมาใช้แล้ว แน่นอน ตอนนี้ต้องยอมรับว่า กากกาแฟ ก็เป็นที่นิยมนำมาผสมในผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสบู่กากกาแฟ ยาสระผมกาแฟ กากกาแฟขัดผิว ก้อนดับกลิ่นจากกากกาแฟ ฯลฯ เพราะฉะนั้น เมื่อชงกาแฟกันแล้ว อย่าทิ้ง!! ถ้าคุณคิดว่า มันยุ่งยาก ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน ถ้าอย่างนั้นเราไปดูกันว่า เราจะใช้ประโยชน์จากกากกาแฟแบบง่ายๆ บ้านๆ ในเรื่องใดกันได้บ้าง 

ปุ๋ยต้นไม้ – แบบง่ายๆเบๆเลย เมื่อได้กากกาแฟแล้ว ก็แค่นำไปตากแดดทิ้งไว้สักหน่อย แล้วค่อยลงดินที่ปลูกต้นไม้ไว้ เพราะถ้าใส่ทั้งที่ยังเปียกชื้นเลย มันจะเป็นรา กากกาแฟเป็นปุ๋ยชั้นดีสำหรับต้นไม้เลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อกากกาแฟผสมกับดินหรืออาจผสมกับปุ๋ยที่เรามีอยู่ มันจะเพิ่มแร่ธาตุให้ดิน ทำให้ต้นไม้งอกงาม และยังช่วยไล่หอยทากรวมไปถึงแมลงที่เป็นศัตรูพืชบางชนิดด้วย 

ขจัดกลิ่นในตู้เย็น – ปัญหาที่หลายๆบ้านเจอ คือ เมื่อเปิดตู้เย็นก็จะอบอวลไปด้วยกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เนื่องจากของกินสารพัดอย่างที่ใส่ไว้ข้างในนั่นเอง สามารถดับกลิ่นได้ด้วยการนำกากกาแฟใส่ถ้วยเล็กๆแล้ววางไว้ในตู้เย็น กากกาแฟจะทำหน้าที่ดูดซับกลิ่นจากอาหารต่างๆ 

ดับกลิ่นรองเท้า – นำกากกาแฟใส่ถุงตาข่ายเล็กๆ แล้วนำไปสอดไว้ในรองเท้า ทิ้งช่วงไว้สักหนึ่งคืน กลิ่นรองเท้าจะหายไป แต่ถ้าจะกำจัดกลิ่นเท้า เพียงนำกากกาแฟผสมน้ำแล้วแช่เท้าในน้ำกากกาแฟไว้สักครู่ หรือ นำมาล้างเท้า 

ขัดผิว/สครับผิว – สำหรับสาวๆหรือผู้ชื่นชอบการขัดผิว นำกากกาแฟมาขัดผิวเพื่อช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้เป็นอย่างดี ได้ทั้งผิวที่เปล่งปลั่งเหมือนไปสปาหรูและยังช่วยประหยัดไม่ต้องจ่ายแพงอีกด้วย

ทำให้ผมเงางาม – ข้อนี้ก็ไม่พ้นสาวๆที่อยากมีผมสวยเงางาม ง่ายๆเลยคือล้างหรือสระผมด้วยกากกาแฟ แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากหรือไม่สะดวกใช้กากกาแฟ ยาสระผมที่มีส่วนผสมของกาแฟก็หาซื้อได้ทั่วไป

ไล่มด – มดที่เดินกันแทบทุกซอกมุมบ้าน ทั้งกวนใจและน่ารำคาญใช่ไหม แก้ด้วยการนำกากกาแฟไปถูๆตามพื้นที่มดชอบเดินผ่าน หรือ นำไปถูๆตามตู้กับข้าว ตู้เสื้อผ้า ที่มดเหล่านี้ชอบเดินขบวน กากกาแฟจะมีกลิ่นที่มดไม่ชอบ ทำให้ไล่มดได้

ป้องกันสุนัขและสัตว์เลี้ยงขับถ่ายไม่เป็นที่ – ผู้ที่เลี้ยงสุนัขหรือมีสัตว์เลี้ยง อาจเคยเจอปัญหาเรื่องสัตว์เลี้ยงของตนฉี่สะเปะสะปะไปทั่วบ้าน สอนไม่จำ ฝึกไม่ได้ หรือ แม้แต่สัตว์อื่นๆนอกบ้านที่ชอบเข้ามาทำแลนด์มาร์คในบริเวณบ้านเรา ก็ให้นำกากกาแฟผสมกับผิวส้มหรือน้ำส้มสายชูแล้วนำไปวางไว้บริเวณที่ไม่ต้องการให้สัตว์ขับถ่าย 

นอกจากนี้ กากกาแฟยังนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะนำไปขัดกระทะที่ไหม้ ล้างกลิ่นคาวปลา  ทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้ ฯลฯ แต่อย่าลืมว่าก่อนนำกากกาแฟไปใช้ ต้องนำไปผึ่งแดดเสียก่อน เพราะกากกาแฟเป็นราได้ง่าย แทนที่จะได้ใช้ประโยชน์ อาจได้โทษกลับมาแทนก็ได้ 

พอจะเข้าใจได้แล้วว่าทำไมกาแฟเปรี้ยว และคงช่วยให้ใครอีกหลายๆคนไม่ต้องทิ้งกาแฟเพราะความเข้าใจผิดอีก   แต่…เคยไหม ที่ไปสั่งกาแฟที่ร้าน ทั้งที่สั่งเมนูใส่นม หรือเมนูที่ไม่น่าจะมีความเปรี้ยวของกาแฟ แต่เรากลับได้รสที่เปรี้ยวมาเสียอย่างนั้น นั่นอาจเป็นไปได้ว่า บาริสต้า หรือ คนชง อาจเป็นมือใหม่ ทำให้กะปริมาณกาแฟ  หรือ ในกรณีที่ร้านต้องบดกาแฟเอง ก็บดในแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน อย่าว่าแต่นักชงมือใหม่เลย บาริสต้าที่คร่ำหวอดในวงการ บางครั้งก็พลาดได้เหมือนกัน เมื่อวันที่สภาพร่างกายไม่พร้อมหรือในเวลาที่รีบเร่ง ร้านกาแฟสดหลายๆร้านจึงแก้ปัญหาหรือวางแผนไว้เลยว่า จะใช้เมล็ดกาแฟคั่วแบบไหน ปริมาณเท่าไรในการบดแต่ละเมนูแต่ละแก้ว หรือไม่ก็สั่งแบบคั่วบดสำเร็จรูปแล้วมาสต็อกไว้ในร้าน แล้วชงตามสูตรของร้าน ทำให้ได้รสชาติที่เป็นมาตรฐานเหมือนกันทุกแก้ว และยังประหยัดเวลาจากการบดในแต่ละครั้งด้วย 

อย่างที่รู้กันว่าเดี๋ยวนี้คนหันมาดื่มกาแฟดำเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น แล้วกาแฟดำดีต่อสุขภาพจริงหรือ บทความนี้จะช่วยหาคำตอบให้เอง 

ประโยชน์ของการดื่มกาแฟดำ 

(1) ในเมล็ดกาแฟมีสาร Antioxidant ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะมาก

(2) ในเมล็ดกาแฟประกอบไปด้วยวิตามินบี 1 ,2 , 3 , 5 และ 9

(3) ในเมล็ดกาแฟมีแมงกานีส โพแทสเซียม แมกนีเซียม และ ฟอสฟอรัส 

(4) เมล็ดกาแฟมีคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า

(5) มีการวิจัยไว้ใน American Journal of Clinical Nutrition ว่ากาแฟสามารถช่วยใน

การเผาผลาญในร่างกายได้ 3-11%

(6.) มีการวิจัยไว้ใน American Journal of Physiology ในปี 1995 ว่ากาแฟสามารถเผาผลาญเซลล์ไขมันได้ 

(7) จากข้อ5-6 นี่เอง ที่ทำให้ปัจจุบันเราเห็นมีการนำกาแฟดำมาช่วยในเรื่องของการลด       

น้ำหนักกันมากขึ้น

(8) กาแฟดำมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวานประมาณ7%

(9) กาแฟดำช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท ทำให้มีความจำดีขึ้น และอารมณ์ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับปริมาณคาเฟอีนที่ได้รับด้วย 

(10) ลดความเสี่ยงและชะลอโรคทางสมอง เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคสมองเสื่อม โรคพาร์กินสัน 

(11) ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก อวัยวะย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น เลือดไหลเวียนคล่อง ส่งผลต่อผิวพรรณ

(12) ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งในช่องปาก มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และ มะเร็งต่อมลูกหมาก เนื่องจากคาเฟอีนจะช่วยยับยั้งการเกิดเซลล์ผิดปกติ และ ช่วยกำจัดสารพิษบางชนิดออกจากร่างกายได้ในระดับหนึ่ง 

ดื่มกาแฟทั้งที ต้องได้ประโยชน์ดีๆ และ ความเพลิดเพลินไปพร้อมๆกัน 

การดื่มกาแฟให้ได้ประโยชน์อย่างแท้จริงและไม่เกิดโทษที่ตามมา นอกจากควรจะเลือกเป็นเมนูกาแฟดำแล้ว และไม่ควรดื่มมากเกินไป คือดื่มประมาณ 2 แก้ว / วัน กำลังดี ตามแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ส่วนคำถามที่ว่า คนท้อง หรือ หญิงให้นมบุตร ดื่มกาแฟหรือคาเฟอีนได้ไหม คำตอบคือ ดื่มได้ แต่ต้องไม่เกิน 200 มิลลิกรัม / วัน  ไม่เกิน 1 แก้ว หรือ ไม่ดื่มจะดีกว่า เพราะมีรายงานว่า หญิงตั้งครรภ์ที่ดื่มกาแฟจะมีความเสี่ยงต่อการแท้งและเด็กที่เกิดมาอาจมีน้ำหนักน้อยเกินไปและอาจตัวเล็กกว่าปกติ  ส่วนผู้ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ หรือ โรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อน 

เพราะฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า ความเปรี้ยวของกาแฟนั้นเป็นประโยชน์มากกว่าที่คิด และไม่ได้หมายความว่ากาแฟหมดอายุ  ไม่ว่าคุณจะเป็นคนชอบดื่มกาแฟรสชาติไหนก็ตาม หากคุณชอบกาแฟไม่เปรี้ยว ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณไม่ใช่คอกาแฟตัวจริง