TOPIC
เมล็ดกาแฟไหน ที่เราควรเอาไปเพาะกัน
โดย : ผู้ดูแลระบบสันติพานิช
05.03.2025
หายไปนาน กับบทความของหยก
วันนี้กลับมามีเรื่องราว สนุกๆให้ทุกคนได้อ่านกัน รู้สึกสนุกทุกครั้งในการขึ้นดอย แต่ละปี จะมีเรื่องเล่าและความรู้ที่ขยับเพิ่มขึ้นไปในทุกปี ส่วนในวันนี้ มันเป็นเรื่องที่เราค้างคามาตั้งแต่ปีที่แล้ว จนวันนี้ เรามาไขข้อข้องใจกัน
เมล็ดกาแฟไหนหรอ ที่เราควรเอาไปเพาะ
เราเดินเข้าไร่กาแฟ พร้อมกับพี่บอลและคำถามเชาว์ปัญญาให้เราตลอดทาง จนไปเจอ เชอร์รี่กาแฟสีเหลือง พี่บอลหยิบชิม พร้อมกับอุทานว่า “โคตรหวาน” เราก็ไม่รอช้า เด็ดมาชิมในทันใด และมันหวานจัดจริงๆ มันฉ่ำมาก พี่บอลเลยเกณฑ์คนมาเก็บเจ้าเชอร์รี่กาแฟสีเหลืองนี้ พร้อมบอกว่า “เอาไปให้พิมเพาะ”
พี่บอล…ทำไมต้องเก็บต้นนี้หล่ะ
มันหวานก็จริง แล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่า น้องที่งอกมาใหม่ จะหวานเท่า ติ๊กต่อกติ๊กต่อก ไม่ได้คำตอบ.. เราก็ต้องไปนั่งคิดวิเคราะห์ พิจารณาเอาเอง…พร้อมคำตอบที่ว่า
เพราะกาแฟต้นนี้ สายพันธุ์นี้ ที่อยู่ในไร่กาแฟแม่บูหย่าดอยปางขอนนี้ ถ้าเติบโตมาในสภาวะแวดล้อมบริเวณเดียวกัน ดินเดียวกัน และการดูแลเเบบเดียวกัน รสชาติก็จะได้ออกมา เท่ากัน หรือดีกว่าเดิมไง…ซึ่งคำตอบก็ใช่เลย ดังนั้น พี่บอลจึงให้เราเก็บไปให้พี่พิมปลูก
มาถึงวิธีการเพาะต้นกาแฟ
ปีนี้ พี่พิมบอกว่าพี่พิมเปลี่ยนวิธีการเพาะใหม่ ที่จะดีกว่าเดิมและลดการสูญเสียกว่าเดิม พี่พิมใช้ผลเชอร์รี่กาแฟที่คัดเลือกมาสมบูรณ์ วางลงที่ผิวดิน อย่างเป็นระเบียบ เว้นระยะห่างไม่ให้เมล็ดกาเเฟติดกัน
จากที่เคยโปรยๆลงไป พี่พิมบอกว่าเวลาโตมา จะได้ไม่ติดกัน ไม่แย่งกันโต แถมการแยกต้นอ่อนจะง่ายขึ้นด้วย เมื่อเราวางผลเชอร์รี่กาแฟลงในผิวดินแล้วก็ใช้ผ้าใบคลุม พร้อมรดน้ำ ทีนี้ก็รอน้องงอกต้นอ่อน โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือน
ต้นกล้า
เมื่อน้องงอกขึ้นมาแล้ว เราจะเอาน้องมาใส่ลงถุงดำ เพื่อรอให้รากแข็งแรง จะมีใบกาแฟที่เรียกว่าใบผีเสื้อ (รูปทรงคล้ายปีผีเสื้อ) งอกออกมา2ใบ
พอเข้าสู้เดือนที่6 ต้นกาแฟจะทิ้งใบผีเสื้อ เพื่อบ่งบอกว่า หนูโตเข้าสู่วัยแรกรุ่นแล้วนะ พร้อมกับแตกยอดอ่อนที่เป็นใบกาแฟจริงๆมา